ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
รัฐศาสตร์ (political science ) แบ่งเป็นสาขาหลักอย่างน้อย 3 สาขา คือ สาขาการปกครอง (government), สาขาการบริหารกิจการสาธารณะ (public administration) และความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (international relation)
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (international
แนวคิดในวิชารัฐศาสตร์ วิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศโดยสังเขป
ศึกษาความหมาย ความเป็นมา ความสำคัญ และขอบเขตแห่งสาระของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แนวคิดพื้นฐานเกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและนโยบายต่างประเทศ เครื่องมือในการดาเนินนโยบายต่างประเทศ องค์ประกอบและปัจจัยด้านการทูต การทหาร เศรษฐกิจ และสังคม ที่มีผลต่อความร่วมมือและความขัดแย้งระหว่างประเทศ สถานการณ์ปัจจุบันที่สำคัญในความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เพื่อให้รู้ – เข้าใจถึงสาระที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ มีเครื่องมือ กระบวนการ และการดาเนินกิจกรรมต่างๆ ในระบบระหว่างประเทศ ที่มีความเปลี่ยนแปลงไปในระบบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคปัจจุบัน
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ หมายถึง การแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามเขตพรมแดนของรัฐ อาจเกิดขึ้นโดยรัฐหรือตัวแสดงอื่น ๆ ที่ไม่ใช่รัฐ ซึ่งส่งผลถึงความร่วมมือหรือความขัดแย้งระหว่างประเทศต่าง ๆ ในโลก
ลักษณะของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือการแลกเปลี่ยนและปฏิสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นข้ามเขตพรมแดนของรัฐดังที่กล่าวข้างต้นนั้น อาจมีลักษณะแตกต่างกัน ดังนี้
1. ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจกระทำอย่างเป็นทางการโดยรัฐ หรือโดยตัวแทนที่ชอบธรรมของรัฐ เช่นการประชุมสุดยอด การดำเนินการทางการฑูต การแถลงการณ์ประท้วง การยื่นประท้วงต่อองค์การสหประชาชาติ หรืออาจเป็นการกระทำไม่เป็นทางการ เช่น การก่อการร้าย การกระทำจารกรรม การโจมตีประเทศหนึ่งโดยสื่อมวลชนของอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ได้กระทำการในนามของรัฐ เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ในลักษณะร่วมมือหรือขัดแย้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น หากไม่ร่วมมือก็ขัดแย้ง ความสัมพันธ์ในลักษณะขัดแย้ง เช่น สงคราม การแทรกแซงบ่อนทำลาย การขยายจักรวรรดินิยม การผนวกดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง ส่วนความร่วมมือ ได้แก่ การกระชับความสัมพันธ์ทางการฑูต การร่วมเป็นพันธมิตร การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัฒนธรรมเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ต่าง ๆ นี้อาจมีลักษณะผสมผสานกันได้ เช่น บางครั้งรุนแรง บางครั้งนุ่มนวล บางครั้งเป็นทางการ บางครั้งกึ่งทางการ หรือบางครั้งร่วมมือในเรื่องหนึ่งแต่ขัดแย้งในอีกเรื่องหนึ่ง เป็นต้น
1. ความสัมพันธ์อย่างเป็นทางการหรือไม่เป็นทางการ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอาจกระทำอย่างเป็นทางการโดยรัฐ หรือโดยตัวแทนที่ชอบธรรมของรัฐ เช่นการประชุมสุดยอด การดำเนินการทางการฑูต การแถลงการณ์ประท้วง การยื่นประท้วงต่อองค์การสหประชาชาติ หรืออาจเป็นการกระทำไม่เป็นทางการ เช่น การก่อการร้าย การกระทำจารกรรม การโจมตีประเทศหนึ่งโดยสื่อมวลชนของอีกประเทศหนึ่ง ซึ่งไม่ได้กระทำการในนามของรัฐ เป็นต้น
2. ความสัมพันธ์ในลักษณะร่วมมือหรือขัดแย้ง ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศที่เกิดขึ้น หากไม่ร่วมมือก็ขัดแย้ง ความสัมพันธ์ในลักษณะขัดแย้ง เช่น สงคราม การแทรกแซงบ่อนทำลาย การขยายจักรวรรดินิยม การผนวกดินแดนของอีกประเทศหนึ่ง ส่วนความร่วมมือ ได้แก่ การกระชับความสัมพันธ์ทางการฑูต การร่วมเป็นพันธมิตร การให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจ การแลกเปลี่ยนเทคโนโลยีและวัฒนธรรมเป็นต้น อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์ต่าง ๆ นี้อาจมีลักษณะผสมผสานกันได้ เช่น บางครั้งรุนแรง บางครั้งนุ่มนวล บางครั้งเป็นทางการ บางครั้งกึ่งทางการ หรือบางครั้งร่วมมือในเรื่องหนึ่งแต่ขัดแย้งในอีกเรื่องหนึ่ง เป็นต้น
ขอบเขตการศึกษาวิชาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ (International Relations) มีขอบเขตเกี่ยวข้องกับ 6 วิชาหลัก คือ
1. วิชาการเมืองระหว่างประเทศ (International Politics)
2. วิชากฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)
3. วิชาประวัติศาสตร์ทางการทูต (Diplomatic History)
4. วิชาองค์การระหว่างประเทศ (International Organization)
5. วิชาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Economics)
6. วิชาว่าด้วยการศึกษาเฉพาะส่วนภูมิภาค (Area or Regional Studies
2. วิชากฎหมายระหว่างประเทศ (International Law)
3. วิชาประวัติศาสตร์ทางการทูต (Diplomatic History)
4. วิชาองค์การระหว่างประเทศ (International Organization)
5. วิชาเศรษฐกิจระหว่างประเทศ (International Economics)
6. วิชาว่าด้วยการศึกษาเฉพาะส่วนภูมิภาค (Area or Regional Studies
ความสำคัญของความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสันติภาพและการอยู่รอดของโลก การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงได้รับความสนใจศึกษาอย่างกว้างขวางทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้รู้และเข้าใจถึงศิลปะและวิธีที่รัฐนำมาใช้ในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดจนเหตุการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งนำมาสู่การทำลายล้างและสงครามระหว่างรัฐ จึงกล่าวได้ว่า สันติภาพและความมั่นคงของโลกขึ้นอยู่กับศิลปะที่รัฐแต่ละรัฐ ที่จะนำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐ รวมทั้งความสามารถของรัฐในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งและสงครามระหว่างรัฐ
ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อสันติภาพและการอยู่รอดของโลก การศึกษาความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจึงได้รับความสนใจศึกษาอย่างกว้างขวางทั่วทุกมุมโลก เพื่อให้รู้และเข้าใจถึงศิลปะและวิธีที่รัฐนำมาใช้ในเวทีความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ตลอดจนเหตุการณ์และปัจจัยต่าง ๆ ซึ่งนำมาสู่การทำลายล้างและสงครามระหว่างรัฐ จึงกล่าวได้ว่า สันติภาพและความมั่นคงของโลกขึ้นอยู่กับศิลปะที่รัฐแต่ละรัฐ ที่จะนำมาใช้เพื่อก่อให้เกิดความสัมพันธ์อันดีระหว่างรัฐ รวมทั้งความสามารถของรัฐในการแก้ปัญหาข้อขัดแย้งและสงครามระหว่างรัฐ
การประสานประโยชน์
การประสานประโยชน์ คือ การรวมกลุ่มของประเทศต่าง ๆ นั้น ก็เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งและประสานผลประโยชน์ระหว่างประเทศ นอกจากนั้นยังเป็นการถ่วงดุลอำนาจให้ประเทศต่าง ๆ มีความเสมอภาคเท่าเทียมกัน
การประสานประโยชน์ หมายถึง การร่วมมือกันเพื่อรักษาและป้องกันผลประโยชน์ของตน หรือระงับความขัดแย้งที่เกิดขึ้น
การประสานประโยชน์ หมายถึง การร่วมมือกันเพื่อรักษาและป้องกันผลประโยชน์ของตน หรือระงับความขัดแย้งที่เกิดขึ้นจากการแข่งขันทางการเมือง เศรษฐกิจระหว่างประเทศ จากการแข่งขันทางการเมือง เศรษฐกิจระหว่างประเทศ
สาเหตุของปัจจัย
1. สภาพแวดล้อมทางภูมิศาสตร์ เช่น มีพรมแดนติดต่อกัน
2.ระบบเศรษฐกิจที่เหมือนกันหรือคล้ายคลึงกัน จึงรวมกลุ่มเพื่อแจกจ่ายผลประโยชน์และความเสมอภาคทางเศรษฐกิจ เพื่อให้ประเทศภายในกลุ่มมีความเข้มแข็งทางเศรษฐกิจ สามารถทำการแข่งขันกันในระบบเสรีได้
3. ระบบการเมืองการปกครองที่คล้ายคลึงกันจะรวมกลุ่มเพื่อประสานประโยชน์ร่วมกัน
4. ลักษณะทางสังคมและวัฒนธรรม เป็นการรวมกลุ่มเพื่อสร้างความก้าวหน้าทางสังคม การศึกษา วัฒนธรรมในแต่ละประเทศให้เท่าเทียมกัน
ลักษณะของการประสานประโยชน์ระหว่างประเทศ
1. การรวมกลุ่มการเมืองระหว่างประเทศ เช่น องค์การสนธิสัญญาป้องกันร่วมกันในเอเชียอาคเนย์ (SEATO) ซึ่งพัฒนาไปเป็นสมาคมประชาชาติเอเชียตะวันออกเฉียงใต้หรือสมาคมอาเซียน (ASEAN) การรวมกลุ่มทางการเมืองอื่น ๆ เช่น องค์การสนธิสัญญาป้องกันแอตแลนติกเหนือ (NATO) กลุ่มประเทศไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด องค์การสันนิบาตอาหรับ องค์การเอกภาพแอฟริกา เป็นต้น
2. การรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศ มี 4 รูปแบบ คือ เขตการค้าเสรี (Free Trade Area) สหภาพศุลกากร (Custom Union) ตลาดร่วม (Common Market) สหภาพเศรษฐกิจ ( Economic Union)
ลักษณะการรวมกลุ่มทางเศรษฐกิจระหว่างประเทศในปัจจุบัน เช่น สหภาพยุโรป (EU) เขตการค้าเสรีอเมริการเหนือ (NAFTA) ความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (APEC) เขตการค้าเสรีอาเซียน (AFTA) สมาคมอาเซียน (ASEAN) องค์การประเทศผู้ส่งออกน้ำมันดิบ (OPEC) กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) เป็นต้น
ความหมายของนโยบาย
นโยบาย คือ หลักและวิธีปฏิบัติซึ่งถือเป็นแนวดำเนินการ
แนวคิดเกี่ยวกับนโยบาย เช่น Greenwood (1965) Haimann & Scott (1974) Anderson (1975) Terry (1977) และ Dye (1981) กล่าวว่า นโยบายคือหลักและวิธีการปฏิบัติซึ่งถือเป็นแนวทางดำเนินการที่ผู้บริหารใช้ในการตัดสินใจเพื่อให้การปฏิบัติงานเป็นไปโดยถูกต้องและบรรลุตามวัตถุประสงค์ที่กำหนดไว้ ส่วน Jansson (1944) ได้ให้ความหมายนโยบายว่า เป็นกลยุทธ์ที่เลือกสรรแล้วนำไปสู่การแก้ปัญหา ดังนั้นนโยบายเปรียบเสมือนแนวทางการแก้ปัญหา การกำหนดนโยบายจึงเป็นความพยายามขององค์กรเพื่อนำไปสู่กระบวนการแก้ปัญหาและตอบสนองต่อความต้องการของบุคคลในองค์กร
นโยบายสาธารณะ ( public policy) หมายถึง แนวทางกิจกรรม การกระทำ หรือการเลือกตัดสินใจของรัฐบาล ซึ่งรัฐบาลได้ทำการตัดสินใจและกำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อชี้นำให้มีกิจกรรมหรือการกระทำต่าง ๆ เกิดขึ้น เพื่อให้บรรลุเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ โดยมีการวางแผน การจัดทำโครงการ วิธีการบริหารหรือกระบวนการดำเนินงาน ให้บรรลุวัตถุประสงค์ในเรื่องใดเรื่องหนึ่ง ด้วยวิธีปฏิบัติงานที่ถูกต้อง เหมาะสม สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง และความต้องการของประชาชน ผู้ใช้บริการในแต่ละเรื่อง
จำแนกออกได้ดังนี้
1. สิ่งใดก็ตามที่รัฐบาลเลือกจะกระทำหรือไม่กระทำ
2.กิจกรรมต่าง ๆ ที่รัฐบาลหรือองค์กรของรัฐจัดทำขึ้นเช่น การจัดการบริการสาธารณะ (public services ),การจัดทำสินค้าสาธารณะ (public good),การออกกฎหมายและการบังคับใช้กฎหมาย
3. แนวทางปฏิบัติกำหนดขึ้น เพื่อตอบสนองต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น หรือแนวทางที่รัฐบาลกำหนดขึ้นเพื่อแก้ไขปัญหา
4.ความคิดของรัฐที่กำหนดว่าจะทำอะไรหรือไม่ อย่างไร เพียงไร เมื่อไร
5.แนวทางกว้าง ๆ ที่รัฐบาล (ไม่ว่าจะระดับใด) กำหนดขึ้นเพื่อล่วงหน้า เพื่อเป็นการชี้นำให้เกิดการกระทำต่าง ๆ ตามมา
เครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ ประกอบด้วย
1. การทูต (Diplomacy) หมายถึง ศิลปะในการดำเนินการและในการเป็นตัวแทนผลประโยชน์แห่งรัฐบาลของตนในต่างประเทศด้วยความเฉลียวฉลาด
2. การเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐ นับตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 1 เป็นต้นมา การคมนาคมระหว่างประเทศเจริญก้าวหน้าขึ้นมาก ทำให้การเดินทางไปมาหาสู่ระหว่างประเทศต่างๆ ทั่วทุกมุมโลกกระทำได้โดยสะดวกรวดเร็วและปลอดภัยมากขึ้น จึงทำให้เกิดประเพณีทางการทูตขึ้นใหม่คือการเดินทางไปเจรจาระหว่างประมุขหรือผู้นำของรัฐต่างๆ ประธานาธิบดีวูดโรว์ วิลสัน เป็นบุคคลแรกที่ได้ปฏิบัติ คือ การเดินทางเข้าร่วมประชุมเจรจาที่แวร์ซาร์ย ประเทศฝรั่งเศสภายหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 ต่อมาวิธีการนี้ได้กระทำกันอย่างกว้างขวางในปัจจุบัน
3. การทหาร หลายประเทศได้ใช้กำลังทหารเป็นเครื่องมือสนับสนุนการดำเนินนโยบายต่างประเทศของตน เพราะว่าในเรื่องการเมืองระหว่างประเทศนั้น แต่ละชาติต่างมุ่งรักษาหรือแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจ ความมุ่งหมายของการแข่งขันคือความต้องการที่จะให้ชาติอื่นยอมปฏิบัติตามความปรารถนาของตนหรือสามารถที่จะกำหนดเงื่อนไขในการตกลงกับชาติอื่น
4. การเศรษฐกิจ ปัจจุบันการเศรษฐกิจได้เข้ามามีบทบาทในการดำเนินความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมาก เพราะประเทศที่มีสถานะทางเศรษฐกิจดีย่อมสามารถมีอิทธิพลเหนือประเทศอื่นได้ ประเทศที่มั่งคั่งมักใช้พลังอำนาจทางเศรษฐกิจเป็นเครื่องมือในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ โดยวิธีการให้ความช่วยเหลือทางเศรษฐกิจแก่ประเทศที่มีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจทั้งในรูปแบบการให้เปล่า การให้กู้ยืมระยะยาวและคิดดอกเบี้ยต่ำ ทั้งนี้เพื่อให้ประเทศเหล่านั้นเป็นพรรคพวกตน หรือสนับสนุนตนในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ
5. การจารกรรม ในการดำเนินกิจการระหว่างประเทศย่อมมีขอบข่ายการจารกรรมหรือหน่วยสืบราชการลับซึ่งส่งไปปฏิบัติงานทั้งในประเทศที่เป็นมิตรและประเทศที่เป็นศัตรู การจารกรรมคือการแสวงหาความลับและการหาข่าวกรอง เพื่อให้ได้ข้อเท็จจริงจากข่าวสารของประเทศต่างๆ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์ในด้านการทหารหรือการเศรษฐกิจ หน่วยจารกรรมที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักได้แก่ CIA (Central Intelligence Agency) ของสหรัฐอเมริกา และ KGB (Komitet Gosudarstvenoi Bezopasnosti) ของสหภาพโซเวียตในอดีต
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น