การเมืองการปกครอง
วิวัฒนาการการปกครองของไทยสมัยต่าง ๆ
ไทยเป็นชาติที่มีความเจริญรุ่งเรืองมาช้านาน แต่เนื่องจากประวัติศาสตร์การปกครองของไทย ได้เริ่มมีหลักฐานเด่นชัด
ในสมัยกรุงสุโขทัย ดังนั้นการศึกษาเกี่ยวกับวิวัฒนาการของการปกครองของไทยจึงจะเริ่มที่สมัยสุโขทัยนี้
สมัยกรุงสุโขทัย การจัดรูปการปกครองเป็น "พ่อปกครองลูก" พระเจ้าแผ่นดินเป็นผู้ปกครองกับผู้อยู่ใต้ปกครอง ได้แก่
ประชาชน มีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกันเสมือนพ่อกับลูก เมื่อประชาชนมีความเดือดร้อนหรือประสบปัญหาใด ๆ สามารถไปร้องทุกข์
ต่อพระเจ้าแผ่นดินโดยตรง
การปกครองแบบนี้ ถือว่าในแต่ละครัวเรือนมีพ่อเป็นหัวหน้าปกครองทุกคนในครอบครัว หลายครัวเรือนก็จะรวมกันเป็น
หมู่บ้านอยู่ในปกครองของ "พ่อบ้าน" (ปัจจุบันเรียกว่าผู้ใหญ่บ้าน) ประชาชนที่อยู่ในการปกครองเรียกว่า "ลูกบ้าน" หลาย ๆ หมู่บ้าน
รวมกันเป็นเมืองอยู่ในปกครองของ "พ่อเมือง" หลายเมืองรวมกันเป็นประเทศอยู่ในปกครองพระเจ้าแผ่นดินซึ่งเรียกว่า "พ่อขุน"
ส่วนข้าราชการตำแหน่งต่าง ๆ เรียกว่า "ลูกขุน"
การปกครองหัวเมือง ได้แบ่งหัวเมืองออกเป็น 3 ประเภท คือ หัวเมืองชั้นใน หัวเมืองชั้นนอก และเมืองประเทศราช
หัวเมืองชั้นใน เป็นหัวเมืองสำคัญอันดับหนึ่ง เป็นที่ประทับของพระเจ้าแผ่นดิน และพระองค์ทรงปกครองหรือบัญชาการ
เองในตำแหน่งจอมทัพ
หัวเมืองชั้นนอก เป็นเมืองที่อยู่ห่างจากเมืองลูกหลวงออกไป พระเจ้าแผ่นดินมิได้ทรงปกครองหรือบังคับบัญชาโดยตรง
แต่ได้ทรงแต่งตั้งเจ้านายหรือข้าราชการที่ไว้วางพระราชหฤทัยไปปกครองแทน
เมืองประเทศราช ได้แก่เมืองที่พระเจ้าแผ่นดินอื่นปกครองตนเอง แต่ต้องจัดการนำเครื่องราชบรรณาการมาถวายตาม
กำหนด เวลาเกิดศึกสงครามต้องยกกองทัพมาช่วยทำการสู้รบกับข้าศึก
สมัยกรุงศรีอยุธยา ไทยได้รับเอาขนบธรรมเนียมประเพณีต่าง ๆ ตลอดทั้งการจัดรูปการปกครองมาจากขอม รูปแบบ
การปกครองของไทยเริ่มเปลี่ยนแปลงเป็นแบบ เทวสิทธิ ซึ่งถือว่าพระเจ้าแผ่นดินมีฐานะเป็นเทพเจ้าที่อวตาร (แบ่งภาค) มาจาก
สวรรค์ และใช้คำนำหน้าพระนามของพระเจ้าแผ่นดินเป็น "สมเด็จ"
รูปการปกครองแบ่งออกเป็น 4 แผนก เรียกว่า "จตุสดมภ์" คือ
1.เวียงหรือเมือง มีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา เรียกว่า "ขุนเวียง" หรือ "ขุนเมือง" มีหน้าที่ในการปกครองท้องที่ รักษา
ความสงบเรียบร้อย ปราบปรามโจรผู้ร้าย บังคับบัญชาศาลซึ่งพิจารณาคดีอุกฉกรรจ์ และจัดการเรื่องเรือนจำ
2.วัง มีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา เรียกว่า "ขุนวัง" มีหน้าที่เกี่ยวกับกิจการในราชสำนัก รักษากฎมณเฑียรบาล จัดการ
พระราชพิธี และมีอำนาจพิจารณา พิพากษาคดีเกี่ยวกับข้าราชการสนมฝ่ายในและอรรถคดีทั่วไป
3.คลัง มีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา เรียกว่า “ขุนคลัง” มีหน้าที่เก็บรักษา รับจ่ายเงินในท้องพระคลัง เก็บภาษีอากร
ติดต่อกับต่างประเทศทางการค้า และบังคับบัญชาศาลซึ่งชำระความเกี่ยวกับราชทรัพย์
4. นา มีเสนาบดีเป็นผู้บังคับบัญชา เรียกว่า “ขุนนา” มีหน้าที่ดูแลที่หลวง เก็บทวงข้าวค่านาจากราษฎร จัดเตรียมเสบียง
อาหารและมีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีเกี่ยวกับที่นาและสัตว์ที่ใช้ในการทำนา อันได้แก่ โค กระบือ
ในรัชสมัยของพระบรมไตรโลกนาถ ได้มีการเปลี่ยนแปลงรูปแบบการปกครองมากที่สุด โดยแยกราชการฝ่ายทหารกับ
ราชการฝ่ายพลเรือนออกจากกัน ตั้งตำแหน่งอัครมหาเสนาบดีขึ้นอีก 2 ตำแหน่ง คือ สมุหนายก มีอำนาจกำกับการและบังคับ
บัญชากิจการฝ่ายพลเรือนทั่วไป และ สมุหกลาโหม มีอำนาจกำกับการและบังคับบัญชากิจการฝ่ายทหาร ตำแหน่งอัครมหา
เสนาบดีนี้สูงกว่าเสนาบดี จตุสดมภ์ และได้เปลี่ยนชื่อ จตุสดมภ์ เสียใหม่ดังนี้
เวียง หรือเมือง เป็น นครบาล
วัง เป็น ธรรมาธิกรณ์
คลัง เป็น โกษาธิบดี
นา เป็น เกษตราธิบดี
สมัยกุรงธนบุรี เมื่อสิ้นสุดสมัยกรุงศรีอยุธยาแล้ว สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชได้ทรงสถาปนากรุงธนบุรีเป็นราชธานี
แต่ในช่วงนี้บ้านเมืองตกอยู่ในภาวะสงครามและสภาพทางเศรษฐกิจตกต่ำ ทรงมีภาระหนักในการกอบกู้เอกราชจากศัตรูและเร่ง
สร้างความเป็นปึกแผ่นภายในชาติ โดยการปราบก๊กต่าง ๆ ให้หมดไป และทำการฟื้นฟูเศรษฐกิจให้ประชาชนพ้นจากสภาพความ
อดอยาก
สมัยกรุงธนบุรีนี้ รูปการปกครองจึงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากสมัยกรุงศรีอยุธยา จะมีก็เฉพาะการปรับปรุงด้านกิจการ
ทหารเท่านั้น เช่น จัดให้มีกำลังรบทางเรืออันเป็นต้นกำเนิดของกองทัพเรือในปัจจุบัน เป็นต้น
สมัยกรุงรัตนโกสินทร์ การจัดรูปการปกครองในสมัยรัชกาลที่ 1 ถึงสมัยรัชกาลที่ 5 ช่วงแรก คงใช้แบบจตุสดมภ์เช่น
เดียวกับที่เคยใช้มาในสมัยกรุงศรีอยุธยา พอถึงสมัยของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 สภาพบ้านเมือง
เจริญขึ้นตามลำดับ กิจการบ้านเมืองก็เพิ่มมากขึ้น รูปการปกครองที่ใช้มาแต่ก่อนไม่ค่อยจะเหมาะสมกับกาลสมัย พระองค์จึงได้
ทรงปฏิรูปแบบการปกครองเสียใหม่ในปี พ.ศ.2435 โดยทรงยกเลิกระบบจตุสดมภ์ แล้วจัดตั้งกระทรวง ทบวง กรม ขึ้นมาแทน
ตามแบบอย่างประเทศในยุโรป ทั้งหมด 12 กระทรวง แต่ละกระทรวงมีเสนาบดี เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุด
ในด้านการปกครองหัวเมืองได้ทรงยกเลิกระบบกินเมืองจัดตั้งเป็นมณฑลเทศาภิบาลเป็นจังหวัด อำเภอ ตำบล และ
หมู่บ้าน มีสมุหเทศาภิบาลเป็นผู้รับผิดชอบสูงสุดระดับมณฑล มีข้าหลวงประจำจังหวัด นายอำเภอ กำนัน และผู้ใหญ่บ้าน
ตามลำดับ
การเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475
ถึงแม้จะได้มีการปฏิรูปการปกครองของไทยในปี พ.ศ.2435 แล้วก็ตาม ระบอบการปกครองของไทยก็ยังคงเป็นการ
ปกครองที่อำนาจสูงสุดรวมอยู่ที่องค์พระมหากษัตริย์หรือตามที่เรียกว่าระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ อำนาจในการปกครอง
ประเทศยังไม่ได้กระจายไปสู่ประชาชน
ดังนั้น เมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 ได้มีคณะบุคคลคณะหนึ่งประกอบด้วยทหารบก ทหารเรือ ข้าราชการพลเรือน
อันมี พล.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา เป็นหัวหน้า เรียกตนเองว่า “คณะราษฎร์” ใช้กำลังเข้ายึดอำนาจการปกครองจากรัฐบาล
เพื่อเปลี่ยนแปลงการปกครองประเทศจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาเป็นระบอบประชาธิปไตย คณะราษฎร์สามารถ
ทำการเปลี่ยนแปลงได้สำเร็จ ประเทศไทยจึงมีการปกครองตามระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตั้งแต่
บัดนั้นเป็นต้นมา
การปกครองของไทยในปัจจุบัน
ประเทศไทยได้ปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขตลอดมาตั้งแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองใน
พ.ศ.2475
คำว่า “ประชาธิปไตย” แปลว่า อำนาจสูงสุดในการปกครองประเทศมาจากปวงชน เป็นการปกครองที่ยึดเอาความเห็น
หรือความต้องการของประชาชนส่วนใหญ่อำนาจในการปกครองประเทศเป็นของปวงชน ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการ
วิพากษ์วิจารณ์การปฏิบัติงานของรัฐบาล ตลอดจนออกเสียง (ผ่านองค์การของประชาชน) ไม่ไว้วางใจรัฐบาล
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย กฎหมายเป็นกติกาที่จะกำหนดบทบาทหรือขอบเขตแห่งอำนาจหน้าที่ของแต่ละ
บุคคล ในการดำเนินการปกครอง กฎหมายที่สำคัญที่สุดก็คือกฎหมายรัฐธรรมนูญ
รัฐธรรมนูญ เป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ กฎหมายอื่น ๆ จะขัดแย้งกับกฎหมายรัฐธรรมนูญไม่ได้ กฎหมาย
รัฐธรรมนูญจะเป็นแม่บทในการกำหนดรูปแบบและกระบวนการในการปกครอง ตลอดถึงกำหนดหลักประกันในเรื่องสิทธิเสรีภาพ
ของประชาชน นับแต่ประเทศไทยได้มีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยมีกฎหมายรัฐธรรมนูญมาแล้ว
กฎหมายรัฐธรรมนูญของไทยฉบับปัจจุบันตราขึ้นเมื่อวันที่ 11 ตุลาคม 2540 ได้กำหนดสถาบันทางการเมืองอันเป็น
องค์ประกอบในการปกครองตามระบอบประชาชนธิปไตยของไทยที่สำคัญ ๆ ดังนี้
พระมหากษัตริย์ พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดหรือฟ้องร้อง
พระมหากษัตริย์ในทางใด ๆ ไม่ได้ พระองค์ทรงเป็นพุทธมามกะและทรงเป็นเอกอัครศาสนูปถัมภก กล่าวคือทรงทำนุบำรุงศาสนา
ทุกศาสนาที่ประชาชนชาวไทยเคารพนับถือ ทรงดำรงตำแหน่งจอมทัพไทย ทรงไว้ซึ่งพระราชอำนาจที่จะสถาปนาฐานันดรศักดิ์
และ พระราชทานเครื่องราชอิสริยาภรณ์
รัฐสภา เป็นองค์การสำคัญในระบอบประชาธิปไตย ประกอบด้วยสภาผู้แทนราษฎร และวุฒิสมาชิก เป็นผู้ให้ความเห็นชอบ
การพิจารณาร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญร่วมกันของ 2 สภา ตามมาตรา 193 และ ทั้ง 2 สภา
มีอำนาจควบคุมการบริหารราชการแผ่นดิน ตลอดจนการตั้งกระทู้ถามรัฐมนตรีเกี่ยวกับงานในหน้าที่ได้
สภาผู้แทนราษฎร ประกอบด้วยสมาชิกจำนวน 500 คน โดยสมาชิกมาจากการเลือกตั้งแบบบัญชีรายชื่อและจาก
การเลือกตั้งแบบแบ่งเขต อยู่ในวาระคราวละ 4 ปี ทำหน้าที่เป็นตัวแทนของปวงชนชาวไทยในการควบคุมการปฏิบัติหน้าที่
เกี่ยวกับการปกครองและบริหารราชการแผ่นดิน เป็นผู้ที่ใกล้ชิดกับประชาชนมากที่สุด ต้องออกเยี่ยมเยียน สอบถามทุกข์สุข
ของประชาชนอยู่เสมอ เพื่อนำเอาปัญหาเหล่านั้นมาแจ้งให้รัฐบาลได้รับทราบ และเพื่อหาทางช่วยเหลือต่อไป
กฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองของไทย ฉบับปัจจุบัน ได้กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
จะต้องสังกัดพรรคการเมือง
วุฒิสภา ประกอบด้วยสมาชิกซึ่งราษฎรเลือกตั้ง จำนวน 200 คน อยู่ในวาระคราวละ 6 ปี ทำหน้าที่เป็นผู้แทนปวงชน
ชาวไทยเช่นเดียวกับสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งวุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎรต่างก็มีประธานและรองประธานสภาของตน เวลาแยกกันประชุมก็เรียกว่า ประชุม
วุฒิสภา หรือสภาผู้แทนราษฎร แต่ถ้าประชุมร่วมกันก็เรียกว่า “ประชุมรัฐสภา” ในการประชุมรัฐสภานี้ให้ประธานวุฒิสภา
เป็นประธานรัฐสภา และประธานสภาผู้แทนราษฎรเป็นรองประธานรัฐสภา
คณะรัฐมนตรี หรือที่เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า คณะรัฐบาล เป็นผู้ใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดิน รัฐธรรมนูญ
ของไทยกำหนดให้คณะรัฐมนตรีประกอบด้วย นายกรัฐมนตรี เป็นหัวหน้า และรัฐมนตรีอีกไม่เกิน 35 คน ร่วมกันรับผิดชอบ
การปกครองและบริหารราชการแผ่นดิน โดยการยินยอมขององค์การที่เป็นตัวแทนของประชาชน อันได้แก่ รัฐสภา ดังนั้น
จึงเท่ากับคณะรัฐมนตรีต้องปฏิบัติหน้าที่ตามความเห็นชอบของประชาชนนั่นเอง
ศาล เป็นองค์การที่ใช้อำนาจตุลาการให้เป็นไปตามรัฐธรรมนูญและกฎหมาย คือ ทำหน้าที่ในการพิจารณา
พิพากษาอรรถคดี เพื่อให้เกิดความยุติธรรมแก่คู่กรณี กฎหมายรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ชัดเจนว่า ผู้พิพากษาและตุลาการ
มีอิสระในการพิจารณาพิพากษาอรรถคดี ศาลยุติธรรม มี 3 ชั้น คือ ศาลชั้นต้น ศาลอุทธรณ์ และศาลฎีกา
กฎหมายรัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองประเทศของไทยฉบับปัจจุบัน นอกจากจะได้บัญญัติ
เกี่ยวกับองค์การที่ใช้อำนาจทั้ง 3 ดังกล่าวมาแล้ว ยังได้กำหนดให้สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสังกัดพรรคการเมืองอีกด้วย
ศาลรัฐธรรมนูญ ประกอบด้วยประธานศาลรัฐธรรมนูญ คนหนึ่ง และตุลาการศาลรัฐธรรมนูญอีก 10 คน มีวาระ
การดำรงตำแหน่ง 9 ปี และดำรงตำแหน่งได้เพียงวาระเดียว เป็นเจ้าพนักงานในการยุติธรรมตามกฎหมาย มีบทบาทหน้าที่
ให้ความเห็นและวินิจฉัยร่างพระราชบัญญัติ หรือร่างพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ที่ไม่ถูกต้องหรือขัดแย้งต่อรัฐธรรมนูญ
ที่รัฐสภาส่งมาให้วินิจฉัย แจ้งให้นายกรัฐมนตรีทราบ
ศาลปกครอง มีอำนาจพิจารณาพิพากษาคดีที่เป็นข้อพิพาทระหว่างหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ กับเอกชน อันเนื่อง
มาจากการกระทำหรือละเว้นการกระทำที่ต้องปฏิบัติตามกฎหมาย ศาลปกครองประกอบด้วย ศาลปกครองสูงสุด ศาลปกครอง
ชั้นต้น และอาจมีศาลปกครองชั้นอุทธรณ์ด้วยก็ได้
พรรคการเมือง ได้แก่ คณะบุคคลที่มีผลประโยชน์คล้ายคลึงกัน มีความต้องการทางการเมืองอย่างเดียวกัน
ได้รวมตัวกันขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ที่จะเข้าควบคุมและกำหนดนโยบายของรัฐ โดยการเอาชนะการเลือกตั้ง
พรรคการเมืองเป็นองค์การทางการเมืองของประชาชน เป้าหมายของการดำเนินงานของพรรคการเมืองก็คือ ชนะ
การเลือกตั้งมีเสียงข้างมากในสภา และจัดตั้งรัฐบาล บทบาทสำคัญของพรรคการเมืองประการหนึ่งก็คือให้ความรู้ทางด้านการ
เมืองแก่ประชาชน คัดเลือกบุคคลที่พรรรคเห็นว่าเป็นคนดีมีความรู้ความสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ดังคำกล่าวที่ว่า “พรรคเลือกคน และบุคคลเลือกพรรค”
การตั้งพรรคการเมืองจะต้องปฏิบัติตามขั้นตอนที่กำหนดไว้ในกฎหมายพรรคการเมือง เช่น การจัดหาสมาชิก
การจดทะเบียน เป็นต้น และการดำเนินงานทางการเมืองจะต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย เช่น การเลือกตั้งทั่วไปจะต้องส่ง
สมาชิกลงสมัครรับเลือกตั้งให้ครบตามจำนวนที่กฎหมายกำหนด คือไม่น้อยกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร
ทั้งหมด เป็นต้น
อนึ่งพรรคการเมืองที่กฎหมายไม่อนุญาตให้จัดตั้งขึ้นในประเทศไทย คือ พรรคคอมมิวนิสต์ เพราะมีอุดมการณ์ทาง
การเมืองขัดต่อการปกครองในระบอบประชาธิปไตย
การเลือกตั้ง การเลือกตั้งเป็นกิจกรรมทางการเมืองที่สำคัญที่สุดในระบอบประชาธิปไตย เพราะเป็นการแสดงออกซึ่ง
เจตนารมณ์ของประชาชนผู้เป็นเจ้าของประเทศในอันที่จะมอบความไว้วางใจให้ตัวแทนของปวงชนไปใช้อำนาจแทนตน โดย
การไปใช้สิทธิออกเสียงเลือกตั้ง โดยมีคณะกรรมการการเลือกตั้งเป็นผู้ควบคุมและดำเนินการจัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิก
สภาผู้แทนราษฎร สมาชิกวุฒิสภา สมาชิกสภาท้องถิ่น และผู้บริหารท้องถิ่น
เมื่อมีการเลือกตั้ง ผู้สมัครสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) จะออกไปหาเสียง ประกาศนโยบายของตนและของ
พรรคการเมืองที่ตนสังกัดว่าเมื่อตนได้รับเลือกตั้งแล้วจะไปทำอะไรบ้างอันจะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนและประเทศชาติ
โดยส่วนรวม ทั้งนี้เพื่อให้ประชาชนเกิดศรัทธาและให้การสนับสนุนออกเสียงลงคะแนนให้ การเลือกตั้งจึงเป็นโอกาสที่ประชาชน
จะได้รับรู้การเคลื่อนไหวต่าง ๆ ทางการเมือง
สำหรับประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้ง จะต้องใช้ความคิดให้ดีก่อนจะตัดสินเลือกผู้สมัครคนใดเป็นตัวแทนของตน เพราะ
ผู้แทนราษฎรจะเป็นผู้ไปใช้สิทธิต่าง ๆ ทางการเมืองการปกครองแทนเรา ถ้าได้ผู้แทนที่ไม่ดีอาจจะนำความเสียหายมาสู่
ประชาชนผู้เลือกตั้งได้ วิธีพิจารณาแบบง่าย ๆ ก็คือ จะต้องพิจารณาถึงภูมิหลังว่าเป็นคนซื่อสัตย์สุจริตหรือไม่ เคยทำประโยชน์
เพื่อส่วนรวมบ้างหรือไม่ ตลอดทั้งมีความรู้ความสามารถพอจะเป็นปากเสียงแทนตนได้หรือไม่
คำว่า “มีความรู้ความสามารถ” นั้นมิได้หมายความว่าบุคคลนั้น จะต้องมีวุฒิการศึกษาสูง ๆ มีปริญญามาก ๆ นั่นเป็น
แต่เพียงเครื่องหมายที่แสดงให้เห็นว่าเขาเป็นผู้ที่ได้รับการศึกษามามาเท่านั้น เขาอาจจะไม่มีความรู้เลยก็ได้
“ความรู้ความสามารถ” ในที่นี้หมายถึงบุคคลที่รู้ปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนอย่างแท้จริงและรู้ถึงขอบเขตอำนาจหน้าที่
ของผู้แทนราษฎร และมีความสามารถที่จะนำความเดือดร้อนหรือความต้องการของประชาชนไปแจ้งให้รัฐบาลทราบได้ ถ้าเลือก
ตั้งได้บุคคลเช่นนี้เป็นตัวแทนของประชาชนก็จะทำให้ชาติบ้านเมืองเจริญ ความผาสุกก็จะเกิดแก่ประชาชนผู้ออกเสียงเลือกตั้ง
นั่นเอง
ส่วนการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา ผู้สมัครสมาชิกวุฒิสภาจะออกไปหาเสียงดังเช่นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้
จะกระทำได้เฉพาะการแนะนำตัวและเสนอผลงานที่ผ่านมาเท่านั้น
บทบาทของประชาชนในการเสริมสร้างประชาธิปไตย
การปกครองในระบอบประชาธิปไตย ประชาชนมีสิทธิเสรีภาพในการกระทำและแสดงความคิดเห็นได้อย่างเต็มที่
ภายใต้ขอบเขตของกฎหมาย ประชาธิปไตยจะเจริญหรือเสื่อมลง ขึ้นอยู่กับบทบาทของประชาชนภายในชาติเป็นสำคัญ
วิธีการเสริมสร้างประชาธิปไตย สามารถทำได้หลายทาง ประชาชนต้องรู้จักใช้และรักษาสิทธิทางการเมืองของตน เช่น สิทธิ
ในการออกเสียงเลือกตั้ง ซึ่งเป็นสิทธิเฉพาะตัว จะโอนให้ผู้อื่นไม่ได้ เมื่อมีกิจกรรมทางการเมือง เช่น มีการเลือกตั้งก็ต้อง
ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ทุกคนมีสิทธิเหมือนกันและมีความสำคัญเท่าเทียมกัน และต้องรู้จักรักษาสิทธิของตนด้วย คือไม่ยอมให้
บุคคลอื่นมาแอบอ้างใช้สิทธิทางการเมืองของตน
อนึ่งการใช้สิทธิเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย จะต้องอยู่ในขอบเขตของกฎหมาย และจะต้องไม่เป็นการก้าวก่าย
หรือละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น รู้จักปฏิบัติตนตามหน้าที่คู่กันกับสิทธิ
ในด้านการเมืองการปกครอง ประชาชนทุกคนมีหน้าที่ที่จะต้องเข้าไปมีส่วนร่วม เช่น ร่วมแสดงความคิดเห็น ให้
ความร่วมมือในการดำเนินงานของเจ้าหน้าที่ที่ปฏิบัติงานตามกฎหมาย รับฟังความคิดเห็นของผู้อื่น
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น